วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

โรคตาแห้ง (Dry Eyes)


       ตาแห้ง คือ การที่ปริมาณน้ำตาที่มาหล่อเลี้ยง ให้ความชุ่มชื่นกับดวงตา เคลือบกระจกตาดำไม่พอ พบในผู้ป่วยทุกเพศและทุกวัย แต่ที่พบบ่อยมากในผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน โดยปกติน้ำตาถูกสร้างจากต่อมน้ำตา 2 กลุ่ม ได้แก่
  1. ต่อมน้ำตาที่เป็นเซลล์เล็กๆ ซึ่งฝังตัวอยู่บริเวณเยื่อเมือกที่คลุมตาขาวและด้านในของเปลือกตา มีหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาหล่อลื่นตาตลอดทั้งวันในภาวะปกติเรียกว่า Basic Tear Secretion
  2. ต่อมน้ำตาใหญ่ อยู่ใต้โพรงกระดูกเบ้าตาบริเวณหางคิ้ว มีหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาเฉพาะเวลาที่มีอารมณ์ต่างๆ เช่น อาการเจ็บปวด ระคายเคืองตา ดีใจหรือเสียใจ เรียกว่า Reflex Tearing
       สาเหตุของโรคตาแห้ง
       ส่วนใหญ่ไม่พบสาเหตุ แต่มักพบในผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งการสร้างน้ำตาจะค่อยๆ ลดลงเอง โดยเฉพาะในวัยหลังหมดประจำเดือน เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกาย และจะพบในผู้ป่วยที่เป็นโรค Sjogren's Syndrome ซึ่งมีอาการตาแห้งร่วมกับข้ออักเสบและปากแห้ง

       ยาบางชนิดอาจจะทำให้กระบวนการสร้างน้ำตาลดลง เช่น ยากลุ่มแอนตี้ฮิสตามีน ใช้รักษาหวัดและภูมิแพ้ ยากล่อมประสาท ยาทางจิตเวช ยาลดความดันโลหิตสูงในกลุ่มที่ออกฤทธิ์โดยการขับปัสสาวะ เป็นต้น หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ก็สามารถใช้ยาต่อไปได้ แต่ต้องรักษาอาการตาแห้งร่วมไปด้วย
  
      ผู้ป่วยที่มีเยื่อบุตาอักเสบรุนแรงจากการติดเชื้อ หรือจากการแพ้ยาที่เรียกว่า Stevens-Johnson Syndrome การอักเสบที่รุนแรงและเรื้อรัง อาจไปทำลายต่อมสร้างน้ำตาเล็ฏๆ ที่เยื่อบุตาขาว ทำให้ผู้ป่วยเกิดตาแห้งชนิดรุนแรงได้

      จักษุแพทย์จะวินิจฉัย "โรคตาแห้ง" โดยการซักประวัติ และบางครั้งอาจใช้วิธีทดสอบ โดยการวัดปริมาณน้ำตาที่เรียกว่า Schrimer's Test โดยการให้ผู้ป่วยหลับตา แล้วใช้แถบกระดาษกรองมาตรฐานสอดไว้ที่ซอกเปลือกตาด้านล่างค่อนไปทางหางตา ใช้เวลา 5 นาที  แล้วเริ่มวัดระยะความเปียกของกระดาษจากขอบตาออกมาบันทึกไว้ ซึ่งหากปริมาณน้ำตาปกติจะวัดแถบน้ำตาที่เปียกได้ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป
 อาการของโรคตาแห้ง 
       ตาจะรู้สึกฝืด เคืองระคายคล้ายมีเศษผงเข้าตา แสบร้อน บางรายมีขี้ตาเป็นเมือกเหนียวยืดเป็ฯเส้น เพราะน้ำตามีส่วนประกอบของน้ำเมือกและน้ำมัน เมื่อโดนแดดและลม น้ำจะถูกระเหยไป เมือกข้นมากขึ้น ผู้ป่วยจึงมีขี้ตาซึ่งมีลักษณะเป็นเมือกสีขาว หรือสีเหลืองนวลมากกว่าปกติ ผู้ป่วยที่ใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ถ้ามีอาการตาแห้ง จะทำให้ระคายเคืองเพิ่มมากขึ้น

       บางครั้งผู้ป่วยจะมีอาการน้ำตาไหล สาเหตุเนื่องจากนน้ำตาปกติลดน้อยลง มีอาการระคายเคือง ทำให้ต่อมน้ำตาใหญ่ (Reflex Tear) บีบน้ำตาออกมามากจนล้นไหล จนถึงน้ำตาแห้งวนกลับมาอีก ถึงระดับที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง น้ำตาก็จะไหลออกมามาก อาการจะสลับกันเช่นนี้เป็นระยะๆ ไป




อ้างอิง : http://ath.in.th

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

การขับรถยนต์ให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

       ในวันที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีการขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องทั่วโลกเช่นนี้ หากเราไม่สามารถหยุดหรือเลิกใช้น้ำมันได้ การประหยัดคงเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ให้เราได้สบายใจสบายเงินในกระเป๋ากันมากขึ้น การขับรถที่คุณใช้อยู่นั้นก็มีวิธีขับ
ที่ช่วยประหยัดน้ำมัน ได้ง่ายๆ ดังนี้

1. ขณะสตาร์ทรถ ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ ไฟหน้ารถ และเครื่องเสียงจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น เปลืองน้ำมัน 10%

2. ม่อุ่นเครื่องยนต์ก่อนขับเคลื่อนตัวรถ เพียงขับเคลื่อนรถเบาๆ 1-2 ก.ม.
เครื่องยนต์จะอุ่นเอง ไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์แล้วจอดอยู่กับที่ เพราะการติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 2 นาที สิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี.

3. ไม่เบิ้ล ไม่บิดเครื่องยนต์ การเบิ้ลเครื่องยนต์ ขณะเกียร์ว่าง 10 ครั้ง ส่งผลให้
รถจักรยานยนต์ สิ้นเปลืองน้ำมัน 15 ซีซี., รถปิคอัพ รถตู้ รถแวน สิ้นเปลืองน้ำมัน
100 ซีซี. และรถบรรทุก สิ้นเปลืองน้ำมัน 300 ซีซี.

4. ขับรถระยะไกล ด้วยความเร็วคงที่ และไม่เกินป้ายจำกัดความเร็วอัตราความเร็วรถที่เหมาะสมที่จะประหยัดน้ำมันได้มากที่สุดคือ 60 - 80 ก.ม./ช.ม.
อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในการขับรถยนต์ที่ความเร็วต่างๆ กัน เปรียบเทียบได้ดังนี้
- ความเร็ว 95 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 80 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 15%
- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 80 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 29%
- ความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 10%
- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 25%

5. ก่อนถึงไฟแดงชะลอความเร็วแต่เนิ่นๆ ด้วยการถอนคันเร่ง และค่อยเหยียบ
เบรก นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้วยังช่วยยืดอายุผ้าเบรก

6. ปิดเครื่องปรับอากาศก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที ประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี.

7. ขับ 91 เติม 91 เลือกเติมน้ำมันที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับเครื่องยนต์
การเติมน้ำมันออกเทน 95 ทั้งๆ ที่รถของคุณใช้ออกเทน 91 ได้ ทำให้คุณเสียเงินเพิ่ม
และไม่ช่วยให้เครื่องยนต์แรงขึ้น

8. สังเกตอาการผิดปกติของรถ ควันไอเสียมีสีดำ หรือขาวผิดปกติ เกิดจาก
การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ มีผลให้สิ้นเปลืองน้ำมัน

9. ควรดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถคอย เพราะการติดเครื่องยนต์จอดรถ
เป็นเวลา 5 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 100 ซีซี.

10. เติมลมยางให้ถูกต้องตามกำหนด ถ้ายางอ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน
เชื้อเพลิงมากขึ้น




อ้างอิง : http://www.lib.ru.ac.th

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

เทคนิคแก้นิสัยเด็กติดเกมส์คอมพิวเตอร์



            โรคเด็กติดเกมส์คอมพิวเตอร์เป็นหนึ่งในภัยสุขภาพและครอบครัว ขั้นตอนทั้ง 8 ต่อไปนี้น่าจะช่วยเด็กที่ติดเกมส์หรือคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกติดเกมส์เลิกติดเกมส์คอมพิวเตอร์ได้ไม่มากก็น้อย

1.จำกัดการเล่นลง เป็นการยากที่จะตัดขาดโดยทันที การควบคุมและจำกัดชั่วโมงการเล่นน่าจะเป็นตรงกลางของการเลิกและการติดเกมส์ เช่น กำหนดให้เล่นได้เพียง 1 ชั่วโมงในแต่ละวัน และเมื่อเด็กได้ทำหน้าที่ของตนเองเสร็จแล้ว เช่น การบ้าน, กินข้าวหรืออาบน้ำแปรงฟันแล้ว เป็นต้น มีคำแนะนำให้เด็กเล็กได้ใช้คอมพิวเตอร์เพียง 30 นาทีต่อวันเพื่อฝึกทักษะการมองเห็น การตอบสนอง อย่าใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์เป็นพี่เลี้ยงเด็ก เพราะอาจจะทำให้เด็กติดมากจนมีปัญหาในการเข้าสังคม และไม่สนใจการละเล่นหรือการอ่านหนังสืออื่นๆ ซึ่งยังจะมีปัญหาทางกายภาพอื่นๆ อีกตามมา เช่น โรคอ้วน โรคกระเพาะ สายตาสั้น เป็นต้น

2.เลือกเกมส์ให้เหมาะสม เกมส์ที่ไม่มีความซับซ้อน เกมส์ที่เล่นจบง่าย เพื่อให้สอดคล้องกับเวลาที่จำกัด เกมส์ที่จำเป็นต้องเล่นต่อเนื่องแบบมีจุดเซฟเป็นระยะ หรือเกมส์ออนไลน์เป็นชนิดเกมส์ที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะไม่สามารถควบคุมเวลาหรือหยุดเล่นได้เมื่อครบเวลาที่กำหนด

3.ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการเฝ้ามองและควบคุม หากเกมส์ควบคุมและดึงความสนใจเด็กได้ ผู้ปกครองต้องสามารถควบคุมเหนือเกมส์เครื่องคอมพิวเตอร์หรือเกมส์จะต้องอยู่ในห้องที่ผู้ปกครองเห็นได้ง่าย เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก เป็นต้น และเมื่อหมดเวลาตามที่ตกลงหรือเด็กไม่ทำตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ ผู้ปกครองสามารถดึงอุปกรณ์ควบคุมเกมส์ออกจากมือหรือผู้ปกครองกำหนดสิทธิ์การใช้คอมพิวเตอร์ผ่านระบบปฏิบัติการก็ได้ ด้วยวิธีที่เด็ดขาดและมีวินัยจะช่วยแก้ปัญหาการติดเกมส์ได้อย่างดี

4.ผู้ปกครองต้องอย่าเพิกเฉยต่อคำแนะนำและคำเตือนที่มาพร้อมเกมส์ ลองดูแผ่นปกซีดี/ดีวีดีเกมส์ที่เล่นเป็นประจำ มักจะมีคำเตือนของอายุผู้เล่นขั้นต่ำ หรือคำแนะนำไว้ ผู้ปกครองควรทราบว่าเกมส์นั้นมีเรื่องราวที่สื่อในทางที่ดีก่อนให้เด็กได้เห็น และมีการใช้การโต้ตอบที่เหมาะสม เช่นการใช้เมาส์เลือก การเคลื่อนไหว เป็นต้น

5.หาอะไรสนุกๆ ให้เด็กทำแทน เด็กจะได้ลืมเล่นเกมส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีและได้ผลที่สุด เพราะเราไม่มียาแก้การติดเกมส์ หรือยาแก้นิสัยไม่ดี มีเพียงกิจกรรมที่ดีกว่าหรือสนุกกว่าเท่านั้น ที่จะชดเชยการติดเกมส์ได้


6.ผู้ปกครองหากิจกรรมเสริมร่วมไปกับการควบคุมเวลาในการเล่นเกมส์ อาจจะเล่นซ่อนหา แต่เป็นการซ่อนแผ่นเกมส์แทนก็อาจจะได้ผลเหมือนกัน หรือซ่อนไอคอนของเกมส์โดยย้ายไปที่ต่างๆ ซึ่งคงจะใช้วิธีนี้ได้ผลไม่กี่ครั้ง

7.ให้กำลังใจและเข้าใจเด็กให้มากที่สุด แม้ว่าความเด็ดขาดหรือการห้ามจะจำเป็นในบางครั้ง แต่ความเข้าใจกันอย่างมีเหตุและผลจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

8.ผู้ปกครองต้องมีเวลาอยู่กับเด็ก เพราะเด็กที่ติดเกมส์มักมีสาเหตุจากการที่พ่อแม่ไม่ได้ให้เวลาหรือมีกิจกรรมร่วมกันกับเด็กน้อย หาโอกาสพาเค้าไปเที่ยวสวนสนุก ไปทานอาหารนอกบ้าน ให้เด็กเข้าชมรมกีฬาหรือดนตรีที่เค้าชอบหรือถนัด มีกิจกรรมอีกมากมายที่ให้ความสุขได้ดีกว่าคอมพิวเตอร์และวิดีโอเกมส์ บางครั้งกิจกรรมที่น่าสนใจกว่าจะเป็นจุดเริ่มที่ดีหากอยากให้เด็กเลิกติดเกมส์คอมพิวเตอร์



อ้างอิง : http://care4friends.wordpress.com



เปลี่ยนนิสัยใช้เงินเปลือง


              วิญญาณของนักช็อปอยู่ในตัวผู้หญิงทุกคนค่ะ เห็นด้วยใช่ไหมคะ ก็ผู้หญิงเราน่ะใช้เงินเก่งอยู่แล้ว   นี่นา ยิ่งพอเห็นของถูกใจนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นต้องตาลุกวาว เดี๋ยวซื้อนู่นซื้อนี่ ยังไม่ทันจะสิ้นเดือนตังค์ก็หมดแล้ว แต่เมื่อก้าวสู่การเป็นแม่ ภาระย่อมจะเพิ่มมากขึ้น จะซื้อจะใช้จ่ายอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ๆ แต่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงนิสัยใช้เงินเปลืองได้อย่างไรนั้น เต่าน้อยมีวิธีค่ะ...

      ตั้ง ปณิธานมุ่งมั่นว่าหลังจากเงินเดือนออก จะซื้อเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นภายในงบที่ตั้งเอาไว้ ทำเป็นสมุดบัญชีไว้ยิ่งดีค่ะ แจกแจงค่าใช้จ่ายล่วงหน้าไปเลย ว่าข้าวของที่หมดไปต้องซื้ออันไหนเพิ่มเติม ส่วนเสื้อผ้าเครื่องประทินโฉม ก็ซื้อเท่าที่จำเป็นตามงบที่ตั้งเอาไว้เช่นกันค่ะ

      ใจแข็งเข้าไว้ค่ะ อย่าใจอ่อนกับการเสียเงินเพิ่มขึ้น ยกเว้นเรื่องอาหารการกิน เจ็บไข้ไม่สบายของคนในครอบครัว ซึ่งต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง

       ตั้งเป้าว่าจะต้องมีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือน เพื่อเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อ๊ะ..ไม่ใช่ของรัฐบาลนะคะ ของลูกและแฟนต่างหาก

        หักห้ามใจจะไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย ต่อให้เป็นของที่อยากได้มากองตรงหน้าก็เหอะ อย่าหวังว่าจะได้เงินคุณอีกเลย ไม่สุรุ่ยสุร่าย ท่องไว้ให้ขึ้นใจเลยค่ะ

อ้างอิง : http://article.zubzip.com


คู่ยา มิตร-ศัตรู


รู้หรือไม่ ยาชนิดไหนควรหรือไม่ควรกินคู่กัน
              เรื่องของโอสถรักษาโรคก็ ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึง แก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก ความไม่รู้ ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝด
                                                                                                                                                                 แฝดที่ดี
              เสมือนคู่บุญยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการ รักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วยเพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำ งานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้


1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย


2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อย


3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี ตัวช่วย พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ


4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและ ถั่วลิสงสักวันละกำมือ


5) น้ำมันปลา(ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูง ด้วย
ระวัง! เสพติดยา(สามัญประจำบ้าน)

แฝดที่ร้าย
              แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ ตัวแม่ ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาตหรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รักมาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้


1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้ว

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้ เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้า ได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน


3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้


4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย


5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไป หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยา พิษให้กับหัวใจและตับตัวเอง
         
            ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มากเมื่อเทียบกับกินอาหาร ธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า ไม่ใช่ แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเล




อ้างอิง : http://atcloud.com

สัตว์เลี้ยง สัญญาณเตือนภัย โรคหัวใจ ในสัตว์เลี้ยง



  "หัวใจ" ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกายของสัตว์เลี้ยง เพราะหากหัวใจหยุดทำงาน ทุกชีวิตต้องตาย หน้าที่สำคัญของหัวใจคือ สูบฉีดเลือดเพื่อนำออกซิเจนสารอาหารต่าง ๆ ผ่านทางหลอดเลือดไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ความผิดปกติที่เกิดกับหัวใจ ส่วนใหญ่มักจะทำให้การบีบตัวของหัวใจลดลง
        โรคหัวใจที่พบในสัตว์เลี้ยงสามารถพบได้เช่นเดียวกับในคน คือสามารถพบได้ตั้งแต่เกิด (พบน้อย) หรือพบภายหลังตามมา ซึ่งโดยทั่วไปมักพบว่าโรคหัวใจมีการพัฒนาขึ้นในช่วงกลางชีวิต โรคหัวใจที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Heart Disease) เป็นลักษณะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะสัตว์ที่มีอายุมาก
        โรคหัวใจแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ และความผิดปกติที่กล้ามเนื้อหัวใจ สัตว์เลี้ยงที่ป่วยด้วยโรคหัวใจสามารถควบคุมอาการของโรคได้ ด้วยการให้อาหารที่ถูกต้องการออกกำลังกาย และการใช้ยาโรคหัวใจ ด้วยการเลือกใช้อาหารที่ถูกต้องร่วมกับคำแนะนำของสัตวแพทย์ จะช่วยให้สัตว์เลี้ยงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีความสุขภาพแข็งแรง

 

  โรคหัวใจแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ
     1. โรคลิ้นหัวใจรั่ว
        "โรคลิ้นหัวใจรั่ว" เป็นความผิดปกติที่ลิ้นหัวใจ โดยมีการปิดไม่ดี ทำให้มีการรั่วไหลย้อนของเลือด ส่งผลทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ซึ่งเป็นความผิดปกติที่พบบ่อยในสุนัข

    2. โรคของกล้ามเนื้อหัวใจ
        อาการผิดปกตินี้จะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการหนาตัว (ซึ่งพบบ่อยในแมว) หรือที่เรียกว่า Hypertrophic Cardiomyopathy (HCM) หรือความผิดปกติกล้ามเนื้อหัวใจอีกชนิด คือผนังกล้ามเนื้อหัวใจบางกว่าปกติและมีความอ่อนแอ ที่เรียกว่า Dilated Cardiomyopathy (DCM) มีผลให้การบีบตัวของหัวใจลดลง (ซึ่งกรณีนี้มักพบในสุนัข) ในสุนัขหรือแมวจะเป็นตรงกันข้ามกัน

        โรคหัวใจทั้งสองชนิด จะค่อยพัฒนาขึ้นโดยใช้ระยะเวลา แต่ผลในที่สุดคือ ก่อให้เกิดภาวะที่มีความรุนแรงต่อการทำงานของหัวใจที่เรียกว่า "หัวใจล้มเหลว" (Heart Failure) เกิดหัวใจวายและเสียชีวิตในที่สุด

        นอกจากโรคหัวใจ 2 ชนิดดังกล่าว อาจพบโรคหัวใจชนิดอื่น อีกได้แต่พบไม่บ่อยนักเช่นโรคพยาธิหนอนหัวใจมีพาหะมาจากยุงกัดพบได้ทั้งในสุนัขและแมว แต่ในปัจจุบันเจ้าของสัตว์เลี้ยง มีความเข้าใจ และป้องกันมากขึ้น ทำให้โอกาสพบน้อยลง หรือในแมวที่มักพบโรคหลอดเลือดอุดตันในแมว (Feline Aortic Thromboembolism) ทำให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันตามขา เกิดอัมพาตตามมา เกิดเนื้อตายที่กล้ามเนื้อขา ในที่สุดขาจะเป็นเนื้อตาย มีการติดเชื้อ เพราะเกิดจากการขาดออกซิเจนแต่มักเป็นผลตามมาจากโรคหัวใจในแมวอีกที เป็นต้น

       จะทราบได้อย่างไรว่า สัตว์เลี้ยงเป็นโรคหัวใจ
        อาการของโรคหัวใจนั้นบ่งบอกได้ยาก เพราะมักคล้ายคลึงกับความผิดปกติของโรคอื่น อาการค่อนข้างผันแปร หรือไม่แน่นอน อาจจะพบได้ตั้งแต่ประเภทที่ไม่สามารถสังเกตอาการได้ จนถึงสามารถสังเกตพบอาการได้ แต่ละอาการจะมีความเด่นชัด หรือมีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อการพัฒนาของโรคหัวใจมากขึ้น

       อาการโรคหัวใจที่พบได้ส่วนใหญ่ ได้แก่
       ซึม อ่อนเพลีย
        เป็นลมหมดสติ
        ออกกำลังได้น้อย เหนื่อยง่าย
        หายใจลำบาก
        ช่องท้องบวม
        ไอ 
        เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
        ขาหลังเป็นอัมพาตบางส่วน (พบในแมว)

               ผู้ที่จะให้คำตอบที่ดีที่สุดว่าสุนัขหรือแมวเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ก็คือสัตวแพทย์ประจำตัวสัตว์เลี้ยงของท่าน โดยเฉพาะสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์ในด้านโรคหัวใจจะสามารถให้คำตอบที่แม่นยำได้ ดังนั้น การนำสัตว์เลี้ยงของทานไปตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจร่างกายโดยการฟังการเต้นของหัวใจจะสามารถบอกความผิดปกติของหัวใจในระยะเริ่มแรกได้
        
        นอกจากนี้การวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การเอ็กซเรย์ การตรวจอัลตราซาวนด์ด้วยคลื่นเสียง(Echocardiography) ก็สามารถชี้เฉพาะยืนยันได้แม่นยำและละเอียดมากขึ้น เหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะทำให้ตรวจพบภาวะโรคหัวใจในระยะเริ่มต้นได้
         
        เมื่อนำสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ สัตวแพทย์อาจจะถามเจ้าของถึงอาการหรือข้อมูลที่จำเพาะเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของท่าน ก่อนที่จะทำการตรวจร่างกายสุนัข ถ้าสัตวแพทย์สงสัยว่ามีปัญหาทางสุขภาพหรือโรคหัวใจ อาจจะต้องมีการตรวจพิเศษเพื่อการวินิจฉัยโรคที่จำเพาะมากขึ้น เช่น การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ การถ่ายภาพรังสี ตรวจวัด คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography) การตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจ ด้วยคลื่นเสียง (Echocardiography)
        หรือตรวจวิธีการอื่นๆ ที่จำเป็นการตรวจร่างกายเป็นประจำ (ทุกปี) จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะทำให้สามารถตรวจพบโรคหัวใจในระยะเริ่มต้นได้
        
      สาเหตุการเกิดของโรคหัวใจ

         
 โรคหัวใจมักไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว ปัญหาจากการกินอาหารไม่เหมาะสมสามารถเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจได้เช่นกัน นอกจากนี้ โรคอ้วน และการที่สัตว์มีน้ำหนักตัวมากเกินไปสามารถโน้มนำให้เกิดโรคได้ รวมถึง 
    
  
1. พันธุ์ของสัตว์เลี้ยง
          
ในสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น Poodle, Miniature Pinscher, Cavalier King Charles Spaniel มักพบปัญหาโรคสิ้นหัวใจรั่ว ขณะที่สุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น Dobermann Pinscher, Labrador Retriever, Great Dane และ Boxer มักเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
          
ส่วนในแมวสายพันธุ์ Persian, Maine Coon และ American Shorthair มักพบความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจได้มากกว่าสายพันธุ์อื่น
      
2. อายุ
        
 ความถี่ของโรคหัวใจ มักเพิ่มมากขึ้นเมื่อสัตว์เลี้ยงอายุมากขึ้น                                                                                           
3. เพศ
      
  สัตว์เลี้ยงเพศผู้ มักพบเป็นโรคหัวใจมากกว่าเพศเมีย

        โรคหัวใจสามารถรักษาได้หรือไม่ ?

          โรคหัวใจของสุนัขและแมวอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้ว่าการรักษาด้วยวิธีการและเทคนิคสมัยใหม่ได้ถูกนำมาใช้มากขึ้นในปัจจุบัน หรือการใช้ยากินบางตัวที่ต้องกินไปตลอดชีวิตอาจสามารถช่วยยืดเวลานานออกไปได้ก็ตาม แม้ยาจะมีราคาแพงและไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย แต่ส่วนใหญ่ความสำเร็จของการรักษาโรคหัวใจสุนัขขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ ประการ ทั้งความร่วมมือที่ดีของเจ้าของสัตว์ และสัตวแพทย์ประจำที่สามารถตรวจพบปัญหาโรคหัวใจในระยะแรก ๆ ดูว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะจะเป็นการช่วยรักษาชีวิตสุนัขของท่านให้ยืนยาวต่อไปและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น                                                                                                
            ดังนั้นการนำสัตว์เลี้ยงเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี ถือเป็นสิ่งที่เจ้าของสัตว์ควรคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับ การตรวจเช็คสุขภาพของตัวคุณผู้เป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน 



อ้างอิง : http://pet.kapook.com

ไอสไตน์ คำพูดและข้อคิดของ ไอสไตน์ ที่อยากให้คุณอ่าน


  ในห้องเรียนวันหนึ่ง
ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า
  " มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่าพอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่าขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน "


นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า
" ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ "


ไอสไตน์ พูดว่า
" งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะคนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควันเขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไปเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่ "


นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
" อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรกเห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ..... ถูกไหมครับ...."
 


     ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้ ไอสไตน์ ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล


       " คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่แหละที่เขาเรียกว่า "ตรรก" เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ "ตรรก"
         จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก "พันธนาการของความเคยชิน" หลบเลี่ยงจาก"กับดักทางความคิด" หลีกหนีจาก " สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง " ขจัด " ทิฐิแห่งกมลสันดาน "


         จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้



                    อ้างอิง : http://www.zazana.com/Article/id7091.aspx