รศ.นพ.สภา เปิดคลินิกมาตั้งแต่ พ.ศ.2507 โดยรับรักษาโรคทั่วไป จะเก็บเงินเฉพาะค่ายาและเวชภัณฑ์เท่านั้น โดยไม่คิดค่าวินิจฉัยโรค แต่ถ้าหากคนไข้ไม่มีเงินจริงๆ ก็ไม่คิดเงิน หรือหากมีไม่พอจะให้เท่าไหร่ก็ได้ เพราะรู้สึกเห็นใจคนไข้ และไม่ต้องการให้ไปซื้อยารับประทานเอง ตามความเคยชินของคนไทยที่มักจะไปร้านขายยาโดยไม่มีใบสั่งแพทย์ ผลเสียคือ ผู้ป่วยจะไม่รู้ว่าตนเองแพ้ยาชนิดนั้นหรือไม่ และจะทำให้ดื้อยาอีกด้วย
"ผมจะแนะนำคนไข้ว่า ควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างถึงจะหายป่วย บางทีก็ต้องบังคับให้คนไข้เชื่อฟัง เพราะจับได้ว่ากินยาไม่ครบ เลยต้องกำชับให้กินตามคำสั่ง ที่ผ่านมายังไม่มีผู้ป่วยได้ยาจากผมแล้วมีอาการดื้อยาหรือแพ้ยา และจะให้ยากินไป 2 วันเท่านั้น เพราะไม่ต้องการให้เอายาไปทิ้งขว้าง เวลาจ่ายยาจะถามก่อนว่า มียาอะไรเหลืออยู่ที่บ้าน จะได้ไม่ให้ยาซ้ำกัน"
ที่น่ายกย่องคือ คุณหมอสภาไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ว่าจะกำไรหรือขาดทุน เพราะมองว่าไม่ได้ลงทุนสูงเท่าคลินิกอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายแต่เพียงตัวยาเท่านั้น ที่จะสั่งซื้อจากบริษัทที่ได้ลิขสิทธิ์มาผลิตยาในไทย เวลาสั่งซื้อแต่ละครั้งจะสั่งจำนวนมากๆ ซึ่งได้ราคาถูก ประหยัดเงินได้มาก แม้ในช่วงหลังๆ สั่งซื้อยาจำนวนน้อยลง แต่บริษัทผลิตยาก็ยังขายในราคาเดิมเป็นการช่วยเหลือกัน เพราะทราบว่าคุณหมอไม่ได้ทำธุรกิจหวังผลกำไร แถมยังต้องถอนเงินบำนาญส่วนตัวมาเป็นค่าซื้อยาให้คนไข้คลินิก ซึ่งคิดราคาตั้งแต่ 5-70 บาท
"ผมไม่คิดว่า สิ่งที่ทำไปนั้นเป็นการช่วยเหลือ แต่ผมทำตามหน้าที่ของแพทย์ต่อคนไข้ เราก็ต่างเป็นคนไทยด้วยกัน เวลาคนไข้มาหา ผมยังคิดว่าเป็นญาติพี่น้องกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง เมื่อเรามีพอกินพอใช้ ก็แบ่งปันกัน ไม่เคยคิดเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ว่าต้องสูญเสียไปมากน้อยเท่าไหร่ ถ้าเห็นคนไข้หายดี ก็ทำให้ผมมีความสุขแล้ว"
คุณหมอท่านนี้ยังกล่าวถึงเรื่องทำดีไว้ด้วยว่า เมื่อเราเกิดมาก็สามารถทำดีได้ตลอดเวลาจนกระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงจะทำ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้ผู้คนในสังคมนึกถึงตัวเองมากขึ้น การช่วยเหลือกันน้อยลง มุ่งแต่จะเอาตัวเองให้รอดก่อน สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ ก็มีส่วนทำให้คนเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ รศ.นพ.สภายังแสดงความคิดเห็นต่อบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ ที่กำลังจะก้าวเข้ามาทดแทนคลื่นลูกเก่าว่า การทำความดีไม่สามารถบอกให้ทำกันได้ว่าทำอย่างไร แต่เราสามารถเริ่มต้นกระทำให้ดูเป็นตัวอย่างได้ ดังนั้น นักศึกษาแพทย์ควรเรียนรู้จิตใจและวิถีปฏิบัติของคุณหมอท่านนี้ ไว้เป็นต้นแบบของผู้กระทำประโยชน์ต่อสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน
"สังคมไทยข้างหน้าจะขาดแคลนบุคลากรที่จะเป็นอาจารย์แพทย์ เพราะปัจจุบันมีแพทย์ที่สนใจจะทำงานในสถาบันศึกษาน้อยลง เพราะการเป็นอาจารย์ต้องเสียสละเวลา ที่จะถ่ายทอดความรู้ เอาใจใส่ในการสอน มุ่งมั่นที่จะศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอาจารย์สอนได้ ขึ้นอยู่กับทักษะการถ่ายทอดความรู้ให้นักศึกษา รวมทั้งความรักในอาชีพแพทย์เป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งยังไม่มีเวลาเปิดคลินิกส่วนตัว หารายได้มากเท่ากับแพทย์เฉพาะทาง" คุณหมอ 5 บาทกล่าว
การกระทำของคุณหมอสภา ไม่เคยทวงบุญคุณ ไม่เคยประกาศยกย่องตัวเอง ว่าเป็นผู้กล้า วีรบุรุษที่เสียสละให้ชาติบ้านเมือง แต่ไม่คิดว่าเป็นเพราะอุดมการณ์ใดๆ แต่มาจากจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ ผู้ที่คิดว่าเกิดมาแล้วควรทำเพื่อผู้อื่น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น